ชนิดของหนังแท้และคุณสมบัติ : Full Grain / Top Grain / Genuine Leather
เมื่อพูดถึงหนังแท้แล้ว จะหมายถึงหนังมากกว่าหนึ่งประเภท หรือแบ่งตามเกรดของหนังที่ผ่านกระบวนการฟอกย้อม ก่อนจะนำไปผลิตเป็นเครื่องหนังต่อไป โดยหนังแต่ละเกรดจะแตกต่างกันตามชั้นของหนัง กระบวนการฟอกหนังและการผสมผสานวัสดุต่างๆ
ก่อนจะเล่าถึงคุณสมบัติของหนังแท้แต่ละชนิด เรามาดูภาพว่า หนังแต่ละเกรดนั้น ได้มาจากหนังสัตว์ในส่วนไหนกันบ้าง
หนังฟูลเกรน (Full Grain Leather)
เมื่อพูดถึงหนังคุณภาพระดับไฮเอนด์ จะหมายถึง หนัง Full Grain ที่ได้มาจากชั้นนอกสุดของหนัง เป็นชั้นที่มีความทนทานสูง บนพื้นผิวมีเส้นลวดลายตามธรรมชาติจำนวนมาก ลวดลายบนหนังมีความละเอียด มีลักษณะเฉพาะและแตกต่างกันในแต่ละตำแหน่งบนหนังผืนเดียวกัน หนังประเภทนี้มักมีร่องรอยหรือมีตำหนิตามธรรมชาติ เกิดจากการกำจัดขนชั้นนอกออกจากแผ่นหนัง ทำให้เหลือเป็นรอยบนเนื้อหนัง แบรนด์สินค้าหรูหราและผู้ผลิตเครื่องหนังส่วนใหญ่ จึงเลือกใช้หนังฟูลเกรนสำหรับผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ของตน
หนังชั้นบน (Top Grain Leather)
หนังชนิดนี้ได้มาจากจากชั้นบนสุดของแผ่นหนังดิบเช่นเดียวกับหนังฟูลเกรน และมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับหนังฟูลเกรนมาก โดยที่ความแตกต่างกันก็คือ หนังชั้นบนไม่มีรอยตำหนิตามธรรมชาติ เนื่องจากผ่านกระบวนการขัดผิวชั้นบนออก ด้วยกระบวนการขัดหรือขัดเงา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลบรอยตำหนิตามธรรมชาติของแผ่นหนัง กระบวนการขัดทำให้ง่ายต่อการขัด ย้อมหรือขึ้นรูปหนัง อย่างไรก็ตาม หนังชั้นบนยังถือเป็นหนังระดับไฮเอนด์ด้วยเหมือนกัน
หนังชั้นล่างหรือหนังกลับ (Split Grain / Suede)
หนังชั้นล่าง (Split Grain) ได้จากส่วนของหนังชั้นล่างลงมา จะมีความแข็งแรงทนทานน้อยกว่าหนังแท้ชนิดฟูลเกรน และท็อปเกรน แต่ด้วยคุณสมบัติยืดหยุ่น และมีผิวสัมผัสนุ่มนวลกว่าฟูลเกรน หนัง split grain จึงได้รับความนิยมนำมาใช้ผลิตสินค้าเครื่องหนังเช่นกัน
หนังชั้นล่าง เป็นหนังที่ตัดมาจากชั้นด้านในของหนังแท้ แล้วนำไปผ่านกระบวนการฟอกหนังเพื่อผลิตเป็นหนัง Nubuck หรือ Suede (หนังกลับ) หนังชนิดนี้มีความยืดหยุ่นมาก สามารถนำไปฟอกย้อมให้มีสีสันได้หลากหลาย และสร้างลวดลามปั๊มจม หรือทำลวดลายแบบนูนได้ดี
หนังเซกันด์ (Second Leather)
หนังชนิดนี้ทำจากวัสดุที่ประกอบด้วยหนัง 10% – 90% ที่ได้มาจากเศษหนังหลายๆ ชิ้น ที่เหลือใช้จากการตัดและผลิตหนังแท้ ฟูลเกรน หรือท็อปเกรน เป็นต้น โดยกระบวนการผลิตเริ่มจากการย่อยเศษหนังให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใช้กาวหรือวัสดุโพลียูรีเทน (PU) ยึดเข้าด้วยกันให้เป็นแผ่น และผ่านกระบวนการเคลือบชั้นผิวด้วย PU การควบคุมคุณภาพของหนังเซกันด์จะทำได้ยาก ด้วยคุณภาพของเศษหนังที่นำมาประกอบเข้าด้วยกัน หนังชนิดนี้สามารถนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์เครื่องหนังทั่วไป นิยมใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์
วิธีการพิจารณาวัสดุหนังแท้ สามารถตรวจสอบได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น
ทดสอบจากกลิ่นหนัง
หนังแท้คุณภาพสูงจะมีกลิ่นเหมือนหนังสัตว์ตามธรรมชาติ ส่วนหนังผสมหรือหนังเทียมชนิดต่างๆ จะมีกลิ่นของพลาสติกและสารเคมี ทั้งนี้ หนังแท้และหนังแท้คุณภาพสูงที่ผ่านกระบวนการฟอกสีหรือเคลือบสีเพื่อความสวยงาม ก็จะมีกลิ่นสารฟอกย้อมเหล่านี้เจือปนอยู่ด้วย
ลวดลายบนผืนหนัง – ความสมบูรณ์แบบ บางครั้งก็สื่อถึงความไม่สมบูรณ์แบบ
หนังแท้คุณภาพสูง หรือหนังชนิดฟูลเกรน จะมีตำหนิเล็กน้อยบนผิวนอกของหนัง ลวดลายของหนังตามธรรมชาติจะมีลายแตกต่างกันและไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งผืน หนังแท้คุณภาพสูงอาจจะมีผิวสัมผัสบางแห่งที่หยาบกระด้างกว่าพื้นผิวบริเวณอื่น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของหนังแท้ที่ได้จากสัตว์ ในขณะที่หนังเทียม เป็นวัสดุผลิตเลียนแบบลวดลายของหนังแท้ จะมีแพทเทินลวดลายสม่ำเสมอตลอดทั้งผืน ซึ่งได้จากกระบวนการผลิตจากโรงงานนั่นเอง
ความยืดหยุ่น
หนังแท้ โดยเฉพาะหนังแท้คุณภาพสูง จะมีคุณสมบัติแข็งแรงและทนทาน และมีผิวสัมผัสแข็งกว่าหนังเทียม แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังฟูลเกรนและหนังท็อปเกรนจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ เครื่องหนังที่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์มีน้ำหนักเบา จะเลือกวัสดุหนังที่บางกว่า ดังนั้น เครื่องหนังคุณภาพสูงบางชิ้นอาจจะนิ่มมากและมีน้ำหนักเบา และถ้าเป็นเครื่องหนังดีไซน์แบบเดียวกัน ผลิตภัณฑ์จากวัสดุหนังเทียมจะบอบบางและขาดง่ายกว่า เมื่อใช้งานไปนานๆ